การขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์เป็นกระบวนการสำคัญสำหรับเจ้าของคลินิกที่ต้องการใช้งานหรือจัดจำหน่ายเครื่องมือแพทย์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยต้องปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2551 และ พระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 ซึ่งมีสาระสำคัญและขั้นตอนที่เจ้าของคลินิกควรรู้ดังนี้
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
พระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2551
กำหนดนิยาม ประเภท การควบคุม และข้อกำหนดในการผลิต นำเข้า และจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ในประเทศไทย
พระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562
ปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมเทคโนโลยีและมาตรฐานใหม่ เพิ่มบทลงโทษ และปรับปรุงกระบวนการควบคุมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ประเภทของเครื่องมือแพทย์ที่ต้องขึ้นทะเบียน
พระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2551 และ พระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 เครื่องมือแพทย์แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักตามระดับความเสี่ยงและความจำเป็นในการควบคุม โดยแต่ละประเภทมีข้อกำหนดในการขึ้นทะเบียน ดังนี้
1. เครื่องมือแพทย์ประเภทความเสี่ยงต่ำ (Class 1: Low Risk)
ลักษณะ: เป็นอุปกรณ์ที่มีความเสี่ยงต่ำและมีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้น้อย
การควบคุม: ควบคุมน้อยที่สุด เพียงให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ถูกต้องตามมาตรฐานทางการผลิต
ตัวอย่างเครื่องมือแพทย์
ผ้าพันแผล (Bandages)
ถุงมือแพทย์ (Medical Gloves)
หน้ากากอนามัย (Surgical Masks)
ไม้กดลิ้น (Tongue Depressors)
เข็มฉีดยา (Syringes without medication)
อุปกรณ์วัดอุณหภูมิแบบธรรมดา (Non-digital Thermometers)
มาตรการควบคุม
ต้องมีคุณภาพตามมาตรฐาน อย.
ไม่จำเป็นต้องผ่านการทดลองทางคลินิก
ผู้ผลิตต้องมีระบบควบคุมคุณภาพ เช่น ISO 13485
2. เครื่องมือแพทย์ประเภทความเสี่ยงปานกลาง (Class 2: Moderate Risk)
ลักษณะ: เป็นเครื่องมือแพทย์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น และอาจมีผลกระทบต่อร่างกายหากใช้ผิดวิธี
การควบคุม: ต้องมีการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย และบางกรณีต้องผ่านการทดสอบทางคลินิก
ตัวอย่างเครื่องมือแพทย์
เครื่องวัดความดันโลหิต (Blood Pressure Monitor)
เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว (Pulse Oximeter)
เครื่องพ่นยา (Nebulizer)
เตียงผู้ป่วยไฟฟ้า (Electric Hospital Beds)
อุปกรณ์ทำแผลขั้นสูง เช่น พลาสเตอร์กันน้ำ (Advanced Wound Dressings)
เครื่องตรวจน้ำตาลในเลือด (Glucometer)
มาตรการควบคุม
ต้องผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO 13485 หรือ FDA Clearance
บางกรณีอาจต้องมีเอกสารรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแล
มีการทดสอบด้าน ประสิทธิภาพและความปลอดภัย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
3. เครื่องมือแพทย์ประเภทความเสี่ยงสูง (Class 3: High Risk)
ลักษณะ: เป็นเครื่องมือแพทย์ที่ใช้สำหรับการรักษาหรือช่วยชีวิต ซึ่งหากเกิดความผิดพลาด อาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพหรือชีวิตของผู้ป่วย
การควบคุม: ต้องผ่านการรับรองที่เข้มงวด เช่น การทดลองทางคลินิก และต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง
ตัวอย่างเครื่องมือแพทย์:
เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
เครื่องช่วยหายใจ (Ventilator)
เครื่องฟอกไต (Dialysis Machine)
เครื่องเอกซเรย์และ MRI (X-ray, MRI Scanner)
อวัยวะเทียม เช่น ข้อเข่าเทียม (Prosthetics, Implants)
วัสดุทางทันตกรรม เช่น รากฟันเทียม (Dental Implants)
มาตรการควบคุม
ต้องผ่านการทดสอบทางคลินิก (Clinical Trials)
ต้องได้รับใบรับรองจาก FDA, CE Marking หรือ WHO Prequalification
ต้องมีเอกสารแสดงถึง ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความเสี่ยงต่ำสุด
ขั้นตอนการขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์
ขั้นตอนที่ 1 ตรวจสอบประเภทเครื่องมือแพทย์
ตรวจสอบว่าเครื่องมือแพทย์ที่ต้องการขึ้นทะเบียนจัดอยู่ในประเภทใด (ต้องมีใบอนุญาต/ต้องจดแจ้ง/ทั่วไป)
ข้อมูลสามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
ขั้นตอนที่ 2 จัดเตรียมเอกสาร
เอกสารที่ต้องใช้มีดังนี้:
แบบคำขอขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์
สามารถดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ อย.
เอกสารประกอบ เช่น
ข้อมูลทางเทคนิคของเครื่องมือแพทย์
ผลการทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
ใบรับรองมาตรฐาน เช่น ISO 13485, CE Mark
ใบอนุญาตผู้ผลิต/ผู้นำเข้า
ใบเสร็จการชำระค่าธรรมเนียม
ขั้นตอนที่ 3 การยื่นคำขอ
เจ้าของคลินิกสามารถยื่นคำขอได้ 2 ช่องทาง:
ยื่นคำขอออนไลน์ผ่านระบบ e-Medical ของ อย.
ยื่นเอกสารด้วยตนเองที่สำนักงาน อย.
ชำระค่าธรรมเนียมตามอัตราที่กำหนด
ขั้นตอนที่ 4 การตรวจสอบและประเมิน
อย. จะตรวจสอบเอกสาร ประเมินความปลอดภัย และประสิทธิภาพของเครื่องมือแพทย์
อาจมีการเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติม
ขั้นตอนที่ 5 การรับใบอนุญาตหรือเลขทะเบียน
หากผ่านการประเมิน เจ้าของคลินิกจะได้รับใบอนุญาตหรือเลขทะเบียนเครื่องมือแพทย์
ใบอนุญาตมีอายุการใช้งาน (ปกติ 3-5 ปี) ต้องต่ออายุเมื่อครบกำหนด
ขั้นตอนที่ 6 การติดฉลาก
เครื่องมือแพทย์ที่ได้รับอนุญาตต้องมีฉลากที่ระบุข้อมูลสำคัญ เช่น
ชื่อผลิตภัณฑ์
เลขทะเบียน
วิธีใช้และคำเตือน
ข้อมูลต้องแสดงเป็นภาษาไทย
บทลงโทษสำหรับการไม่ปฏิบัติตามกฎการขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์
ตาม พระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2551 และ พระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 มีบทลงโทษที่ชัดเจนสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับการผลิต นำเข้า ขาย หรือใช้งานเครื่องมือแพทย์โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด ดังนี้
1. การผลิต/นำเข้า/ขายเครื่องมือแพทย์โดยไม่ได้รับอนุญาต
โทษ
ปรับสูงสุด 500,000 บาท
หรือจำคุกไม่เกิน 5 ปี
หรือทั้งจำทั้งปรับ
กรณีร้ายแรง: หากการกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสุขภาพหรือชีวิตของผู้บริโภค อาจเพิ่มโทษสูงขึ้นตามดุลยพินิจของศาล
2. การโฆษณาเครื่องมือแพทย์โดยไม่ได้รับอนุญาต
โทษ:
ปรับไม่เกิน 100,000 บาท
หากเป็นการโฆษณาเกินจริง หรือก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในผลิตภัณฑ์ อาจมีคำสั่งให้ระงับโฆษณาทันที
3. การติดฉลากไม่ถูกต้อง หรือไม่มีฉลาก
โทษ:
ปรับไม่เกิน 50,000 บาท
ฉลากต้องแสดงข้อมูลสำคัญ เช่น เลขทะเบียน ชื่อผลิตภัณฑ์ ชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า วิธีใช้ คำเตือน และข้อมูลที่จำเป็นอื่น ๆ
4. การจำหน่ายเครื่องมือแพทย์หมดอายุหรือไม่ได้มาตรฐาน
โทษ
ปรับสูงสุด 100,000 บาท
หรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรการเพิ่มเติม
สั่งระงับการขายทันที
สั่งเรียกคืนสินค้าออกจากตลาด
5. การละเมิดข้อกำหนด Post-Market Surveillance
(การติดตามผลกระทบของเครื่องมือแพทย์หลังการขาย)
โทษ
หากไม่ดำเนินการตามข้อกำหนดในการติดตามผล อาจถูกปรับสูงสุด 200,000 บาท หรืออาจถูกยกเลิกใบอนุญาต
6. การไม่ต่ออายุใบอนุญาต
โทษ
หากใช้งานเครื่องมือแพทย์โดยไม่มีใบอนุญาตที่ถูกต้อง จะถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมาย และอาจถูกปรับสูงสุด 500,000 บาท
7. การขัดขวางการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่
โทษ
ปรับไม่เกิน 50,000 บาท
หรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน
หรือทั้งจำทั้งปรับ
8. การกระทำโดยเจตนาเพื่อหลอกลวงผู้บริโภค
โทษ
หากมีการเจตนาหลอกลวง หรือปลอมแปลงข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์:
ปรับสูงสุด 1,000,000 บาท
หรือจำคุกไม่เกิน 10 ปี
หรือทั้งจำทั้งปรับ
9. บทลงโทษเพิ่มเติมในกรณีความเสียหายต่อชีวิตและสุขภาพ
หากพบว่าเครื่องมือแพทย์เป็นต้นเหตุของการเสียชีวิตหรือทำให้สุขภาพของผู้ใช้เกิดความเสียหายร้ายแรง:
อาจมีโทษปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดตามความเสียหาย
หรือโทษจำคุกที่เพิ่มขึ้นตามดุลยพินิจของศาล
สรุป
การไม่ปฏิบัติตามกฎการขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์อาจส่งผลให้เกิดบทลงโทษที่ร้ายแรง ทั้งโทษปรับและจำคุก นอกจากนี้ การละเมิดกฎหมายอาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของธุรกิจ ดังนั้น เจ้าของธุรกิจหรือคลินิกควรปฏิบัติตามข้อกำหนดและกฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาและสนับสนุนความปลอดภัยของผู้บริโภค.
Comments