top of page

MOU คลินิก คืออะไร? ทำไมจำเป็นสำหรับการเปิดคลินิก

อัปเดตเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา


MOU

MOU หรือ Memorandum of Understanding คือ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เป็นเอกสารทางกฎหมายที่ใช้ระบุข้อตกลงและเงื่อนไขระหว่างสองฝ่ายหรือมากกว่า โดยเป็นเอกสารที่มีลักษณะกึ่งทางการ ซึ่งมักจะใช้เป็นแนวทางหรือข้อกำหนดเบื้องต้นก่อนการทำสัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมายจริง



MOU คืออะไรสำคัญอย่างไรกับการเปิดคลินิก?

 ความสำคัญของ Mou

สำหรับการเปิดคลินิก MOU มีความสำคัญในหลายกรณี เช่น:

  • MOU ระหว่างแพทย์กับเจ้าของคลินิก

    • หากเจ้าของคลินิกไม่ใช่แพทย์ ต้องมี MOU ระหว่างเจ้าของคลินิกกับแพทย์ผู้ดำเนินการ (แพทย์ผู้มีใบประกอบโรคศิลปะ) เพื่อกำหนดหน้าที่และขอบเขตของแต่ละฝ่าย

    • ป้องกันปัญหาด้านกฎหมาย เช่น เจ้าของคลินิกไม่มีสิทธิ์สั่งจ่ายยาหรือรักษาคนไข้


  • MOU กับโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลอื่น

    • บางคลินิกต้องการทำข้อตกลงกับโรงพยาบาลเพื่อส่งต่อผู้ป่วยในกรณีฉุกเฉิน

    • อาจมีการตกลงเพื่อใช้ทรัพยากรทางการแพทย์ร่วมกัน เช่น ห้องแล็ป เครื่องมือแพทย์ หรือบุคลากร


  • MOU กับบริษัทคู่ค้า เช่น ผู้จัดจำหน่ายยา หรือเครื่องมือแพทย์

    • ใช้เป็นข้อตกลงในการซื้อขายหรือให้บริการเครื่องมือแพทย์ ยา และอุปกรณ์ต่าง ๆ

      ระบุเงื่อนไขการชำระเงิน การรับประกัน และเงื่อนไขทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง


  • MOU กับพนักงานหรือบุคลากรทางการแพทย์

    • ใช้ระบุข้อตกลงเกี่ยวกับเวลาทำงาน ค่าตอบแทน และหน้าที่ความรับผิดชอบ

    • ลดปัญหาความขัดแย้งในกรณีเกิดปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการจ้างงาน


  • MOU กับหน่วยงานภาครัฐ

    • ในบางกรณี คลินิกอาจต้องทำ MOU กับกระทรวงสาธารณสุข หรือหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย

    • เช่น การเข้าร่วมโครงการรัฐ หรือรับใบอนุญาตพิเศษในการให้บริการเฉพาะทาง


MOU กับคลินิกมีกฎหมายรับรองหรือเกี่ยวข้องหรือไม่?

MOU (บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ) ไม่ใช่เอกสารที่มีกฎหมายบังคับใช้โดยตรง แต่เป็นเอกสารที่ใช้กำหนดข้อตกลงระหว่างคู่สัญญา ซึ่งหากมีข้อพิพาทเกิดขึ้น ศาลอาจพิจารณา MOU เป็นหลักฐานในการพิจารณาคดี อย่างไรก็ตาม MOU อาจมีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายที่ใช้บังคับในธุรกิจคลินิกและสถานพยาบาล ดังนี้:

 

1. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ MOU ในการเปิดคลินิก

พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

กำหนดให้ คลินิกต้องมีผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม (แพทย์) เป็นผู้รับผิดชอบ และต้องได้รับใบอนุญาตก่อนเปิดให้บริการ


กฎหมาย MOu

หากเจ้าของคลินิกไม่ใช่แพทย์ ต้องมี MOU หรือสัญญาจ้างแพทย์เป็นผู้ดำเนินการแทน เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย

  • พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525

กำหนดว่า เฉพาะแพทย์ที่มีใบประกอบโรคศิลปะเท่านั้นที่สามารถวินิจฉัยและรักษาโรคได้

หากมี MOU ระหว่างแพทย์และเจ้าของคลินิก ต้องกำหนดให้แพทย์เป็นผู้ดูแลด้านวิชาชีพ มิฉะนั้นอาจมีความผิดตามกฎหมาย

  • พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

หาก MOU เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหรือใช้ยาในคลินิก ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับยาและต้องได้รับใบอนุญาตให้ขายยาอย่างถูกต้อง

  • พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541

หากมี MOU กับแพทย์ พยาบาล หรือพนักงานคลินิกเกี่ยวกับการจ้างงาน ต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน เช่น การจ่ายค่าจ้าง สวัสดิการ และชั่วโมงทำงาน

 

2. MOU ระหว่างแพทย์กับเจ้าของคลินิก


MOU เจ้าของคลินิกและเแพทย์

หากเจ้าของคลินิกไม่ใช่แพทย์ MOU อาจถูกใช้แทนสัญญาจ้างงานหรือสัญญาจ้างบริหารคลินิก เพื่อกำหนดว่าแพทย์จะเป็นผู้ดำเนินการทางวิชาชีพ

  • ศาลอาจพิจารณาว่า MOU มีผลทางกฎหมายหรือไม่ โดยดูที่เนื้อหาและพฤติการณ์ในการปฏิบัติตามข้อตกลง

  • ควรมีการร่างสัญญาให้รอบคอบ หรือให้ทนายช่วยตรวจสอบ เพื่อป้องกันข้อพิพาท


3. ผลทางกฎหมายของ MOU

MOU ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายโดยอัตโนมัติ เว้นแต่มีการปฏิบัติตามจริงและสามารถใช้เป็นหลักฐานในกรณีพิพาท

  • หากมีการกำหนดข้อผูกพันที่ชัดเจนใน MOU เช่น ค่าตอบแทน, ระยะเวลาทำงาน, หน้าที่ความรับผิดชอบ อาจถือเป็น "สัญญาจ้าง" หรือ "สัญญาทางธุรกิจ" ที่มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย

  • ถ้ามีการละเมิดข้อตกลง ฝ่ายที่เสียหายอาจใช้ MOU เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องได้


สรุป

  1. MOU ไม่ใช่กฎหมายโดยตรง แต่สามารถใช้เป็นข้อตกลงทางธุรกิจและมีผลทางกฎหมายได้หากมีเงื่อนไขที่ชัดเจน

  2. กฎหมายเกี่ยวข้องกับคลินิก ได้แก่ พ.ร.บ. สถานพยาบาล, พ.ร.บ. วิชาชีพเวชกรรม และ พ.ร.บ. ยา ซึ่งกำหนดว่าผู้ดำเนินการคลินิกต้องเป็นแพทย์

  3. หากมี MOU ระหว่างแพทย์กับเจ้าของคลินิก ควรให้ทนายตรวจสอบ เพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมาย


MOU มีผลทางกฎหมายหรือไม่?

MOU (Memorandum of Understanding) หรือ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เป็นเอกสารที่ใช้กำหนดข้อตกลงระหว่างสองฝ่ายหรือมากกว่า แต่ ไม่ได้มีผลผูกพันทางกฎหมายโดยอัตโนมัติ เหมือนสัญญาทางกฎหมายทั่วไป อย่างไรก็ตาม MOU อาจมีผลทางกฎหมายได้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและเนื้อหาภายในเอกสาร

 

1. กรณีที่ MOU ไม่มีผลทางกฎหมาย

โดยทั่วไป MOU เป็นข้อตกลงเบื้องต้น ซึ่งมักใช้เพื่อแสดงเจตนาในการร่วมมือกัน และ ไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย หากเอกสาร

  • ไม่มีข้อความที่ชัดเจนว่าเป็น สัญญาที่มีผลผูกพัน

  • ไม่มีการระบุข้อกำหนดเกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ และผลทางกฎหมายของแต่ละฝ่าย

  • ใช้เป็นข้อตกลงทั่วไป เช่น การแสดงเจตนาในการทำธุรกิจร่วมกันในอนาคต

ตัวอย่าง

MOU ระหว่างสองคลินิกที่ตกลงว่าจะร่วมมือกัน แต่ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขผูกพันใด ๆ

MOU ที่ใช้เพื่อแสดงความตั้งใจร่วมมือ แต่ไม่มีบทลงโทษหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตาม

 

2. กรณีที่ MOU มีผลทางกฎหมาย

  • แม้ MOU จะไม่ใช่สัญญาเต็มรูปแบบ แต่สามารถมีผลทางกฎหมายได้ หากมีเงื่อนไขที่บังคับใช้ได้จริง เช่น

  •  มีเงื่อนไขที่ชัดเจนและเป็นข้อตกลงที่มีผลบังคับใช้

  • ระบุสิทธิและหน้าที่ของแต่ละฝ่ายอย่างชัดเจน

  • มีข้อตกลงเกี่ยวกับค่าตอบแทน การบริหารงาน หรือการแบ่งผลประโยชน์

มีข้อผูกพันทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายอื่น ๆ

  • หากเป็นข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับ พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 หรือ พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 อาจมีผลบังคับใช้ในบางเงื่อนไข

ตัวอย่างเช่น MOU ระหว่างแพทย์กับเจ้าของคลินิก ที่กำหนดให้แพทย์เป็นผู้ดำเนินการทางการแพทย์ของคลินิก

สามารถใช้เป็นหลักฐานในศาลได้

  • หากมีการละเมิดข้อตกลง ฝ่ายที่เสียหายอาจใช้ MOU เป็นหลักฐานในการเรียกร้องค่าเสียหาย

  • หากเอกสารระบุข้อตกลงที่มีผลทางธุรกิจ หรือมีการลงลายมือชื่อร่วมกัน อาจถูกตีความว่าเป็นสัญญาโดยปริยาย

 ตัวอย่าง

  • MOU ระหว่างเจ้าของคลินิกกับแพทย์ ที่ระบุว่าหากแพทย์ลาออกก่อนกำหนด จะต้องแจ้งล่วงหน้าหรือมีค่าปรับ

  • MOU กับผู้จัดจำหน่ายยา ที่ระบุว่าต้องจัดส่งสินค้าภายในระยะเวลาที่กำหนด


3. วิธีทำให้ MOU มีผลทางกฎหมาย

หากต้องการให้ MOU มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย ควรมีองค์ประกอบดังนี้

ระบุเงื่อนไขที่ชัดเจน

  • ใครเป็นคู่สัญญา

  • ขอบเขตของข้อตกลงและหน้าที่ของแต่ละฝ่าย

  • ระยะเวลาของข้อตกลง

 

 เพิ่มบทลงโทษและเงื่อนไขการบังคับใช้

  • กำหนดว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งละเมิดข้อตกลง จะมีบทลงโทษอย่างไร

  • อาจระบุค่าปรับ หรือมาตรการทางกฎหมายที่สามารถดำเนินการได้

 ลงนามและพยาน

  • ให้ทุกฝ่ายลงนามอย่างเป็นทางการ

  • หากต้องการให้มีผลทางกฎหมายมากขึ้น อาจให้พยานหรือทนายความร่วมลงนาม


เปลี่ยน MOU เป็นสัญญาที่มีผลบังคับใช้

หากต้องการให้มีผลผูกพันทางกฎหมายเต็มรูปแบบ ควรพิจารณาทำ "สัญญาทางธุรกิจ" หรือ "สัญญาจ้างงาน" แทน


MOU ไม่ใช่สัญญาโดยอัตโนมัติ แต่สามารถมีผลทางกฎหมายได้หากมีข้อตกลงที่ชัดเจนและมีข้อผูกพันทางกฎหมาย หากต้องการให้ MOU มีผลบังคับใช้ ควรระบุรายละเอียดให้ชัดเจน มีบทลงโทษ และลงนามโดยทั้งสองฝ่ายในกรณีของธุรกิจคลินิก MOU ควรใช้ร่วมกับสัญญาทางธุรกิจหรือกฎหมายอื่น ๆ เพื่อป้องกันข้อพิพาทในอนาคต


สำหรับการเปิดคลินิก MOU มีความจำเป็นเพราะ

  • เป็นข้อกำหนดทางกฎหมาย - คลินิกต้องมีแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเป็นผู้ดำเนินการ หากเจ้าของคลินิกไม่ได้เป็นแพทย์เอง จำเป็นต้องมี MOU กับแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่จะเป็นผู้ดำเนินการ

  • กำหนดขอบเขตความรับผิดชอบ - ระบุบทบาทและหน้าที่ของทั้งเจ้าของคลินิกและแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม

  • การขออนุญาตประกอบกิจการ - เป็นเอกสารสำคัญที่ต้องยื่นประกอบการขออนุญาตเปิดคลินิกจากกระทรวงสาธารณสุข

  • รับรองมาตรฐานการให้บริการ - แสดงให้เห็นว่าคลินิกมีแพทย์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการให้บริการทางการแพทย์


MOU นี้จะต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น แพทยสภา หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ก่อนที่จะสามารถเปิดให้บริการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือหากอยากศึกษาขึ้นมูลขั้นตอนการขออนุญาตเปิดคลินิกเพิ่มเติมได้ที่นี่




Comments


093-4241559

Clinic Deccor

Clinicdeccor

@clinicdeccor

บริการทั้งหมด

สินค้า

ติดต่อสอบถาม

CLINICDECCOR

สำรวจพื้นที่ให้คำปรึกษา

ออกแบบคลินิก

ตกแต่งคลินิก

ขอใบอนุญาตคลินิก

ออกแบบโลโก้

ผลิตสื่อโซเชียลมีเดีย

เตียงทรีทเม้นท์
เฟอร์นิเจอร์
เครื่องมือแพทย์ความงาม
โคมไฟคลินิก
อุปกรณตกแต่งคลินิก

แจ้งปัญหา
ปรึกษาปัญหา
ประเมินราคาเบื้องต้น
ขั้นตอนการทำงาน

633/1 ถ.สาธุประดิษฐ์ แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา  กรุงเทพมหานคร 10120

Brand
Logo Clinic Pro
Logo
QR Code

Copyright © 2020 clinicdeccor.com All Rights Reserved

bottom of page