MOU คลินิก คืออะไร? ทำไมจำเป็นสำหรับการเปิดคลินิก
- Decco develop
- 10 มี.ค.
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา

MOU หรือ Memorandum of Understanding คือ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เป็นเอกสารทางกฎหมายที่ใช้ระบุข้อตกลงและเงื่อนไขระหว่างสองฝ่ายหรือมากกว่า โดยเป็นเอกสารที่มีลักษณะกึ่งทางการ ซึ่งมักจะใช้เป็นแนวทางหรือข้อกำหนดเบื้องต้นก่อนการทำสัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมายจริง
MOU คืออะไรสำคัญอย่างไรกับการเปิดคลินิก?

สำหรับการเปิดคลินิก MOU มีความสำคัญในหลายกรณี เช่น:
MOU ระหว่างแพทย์กับเจ้าของคลินิก
หากเจ้าของคลินิกไม่ใช่แพทย์ ต้องมี MOU ระหว่างเจ้าของคลินิกกับแพทย์ผู้ดำเนินการ (แพทย์ผู้มีใบประกอบโรคศิลปะ) เพื่อกำหนดหน้าที่และขอบเขตของแต่ละฝ่าย
ป้องกันปัญหาด้านกฎหมาย เช่น เจ้าของคลินิกไม่มีสิทธิ์สั่งจ่ายยาหรือรักษาคนไข้
MOU กับโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลอื่น
บางคลินิกต้องการทำข้อตกลงกับโรงพยาบาลเพื่อส่งต่อผู้ป่วยในกรณีฉุกเฉิน
อาจมีการตกลงเพื่อใช้ทรัพยากรทางการแพทย์ร่วมกัน เช่น ห้องแล็ป เครื่องมือแพทย์ หรือบุคลากร
MOU กับบริษัทคู่ค้า เช่น ผู้จัดจำหน่ายยา หรือเครื่องมือแพทย์
ใช้เป็นข้อตกลงในการซื้อขายหรือให้บริการเครื่องมือแพทย์ ยา และอุปกรณ์ต่าง ๆ
ระบุเงื่อนไขการชำระเงิน การรับประกัน และเงื่อนไขทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
MOU กับพนักงานหรือบุคลากรทางการแพทย์
ใช้ระบุข้อตกลงเกี่ยวกับเวลาทำงาน ค่าตอบแทน และหน้าที่ความรับผิดชอบ
ลดปัญหาความขัดแย้งในกรณีเกิดปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการจ้างงาน
MOU กับหน่วยงานภาครัฐ
ในบางกรณี คลินิกอาจต้องทำ MOU กับกระทรวงสาธารณสุข หรือหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย
เช่น การเข้าร่วมโครงการรัฐ หรือรับใบอนุญาตพิเศษในการให้บริการเฉพาะทาง
MOU กับคลินิกมีกฎหมายรับรองหรือเกี่ยวข้องหรือไม่?
MOU (บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ) ไม่ใช่เอกสารที่มีกฎหมายบังคับใช้โดยตรง แต่เป็นเอกสารที่ใช้กำหนดข้อตกลงระหว่างคู่สัญญา ซึ่งหากมีข้อพิพาทเกิดขึ้น ศาลอาจพิจารณา MOU เป็นหลักฐานในการพิจารณาคดี อย่างไรก็ตาม MOU อาจมีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายที่ใช้บังคับในธุรกิจคลินิกและสถานพยาบาล ดังนี้:
1. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ MOU ในการเปิดคลินิก
พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
กำหนดให้ คลินิกต้องมีผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม (แพทย์) เป็นผู้รับผิดชอบ และต้องได้รับใบอนุญาตก่อนเปิดให้บริการ

หากเจ้าของคลินิกไม่ใช่แพทย์ ต้องมี MOU หรือสัญญาจ้างแพทย์เป็นผู้ดำเนินการแทน เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย
พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525
กำหนดว่า เฉพาะแพทย์ที่มีใบประกอบโรคศิลปะเท่านั้นที่สามารถวินิจฉัยและรักษาโรคได้
หากมี MOU ระหว่างแพทย์และเจ้าของคลินิก ต้องกำหนดให้แพทย์เป็นผู้ดูแลด้านวิชาชีพ มิฉะนั้นอาจมีความผิดตามกฎหมาย
พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
หาก MOU เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหรือใช้ยาในคลินิก ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับยาและต้องได้รับใบอนุญาตให้ขายยาอย่างถูกต้อง
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
หากมี MOU กับแพทย์ พยาบาล หรือพนักงานคลินิกเกี่ยวกับการจ้างงาน ต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน เช่น การจ่ายค่าจ้าง สวัสดิการ และชั่วโมงทำงาน
2. MOU ระหว่างแพทย์กับเจ้าของคลินิก

หากเจ้าของคลินิกไม่ใช่แพทย์ MOU อาจถูกใช้แทนสัญญาจ้างงานหรือสัญญาจ้างบริหารคลินิก เพื่อกำหนดว่าแพทย์จะเป็นผู้ดำเนินการทางวิชาชีพ
ศาลอาจพิจารณาว่า MOU มีผลทางกฎหมายหรือไม่ โดยดูที่เนื้อหาและพฤติการณ์ในการปฏิบัติตามข้อตกลง
ควรมีการร่างสัญญาให้รอบคอบ หรือให้ทนายช่วยตรวจสอบ เพื่อป้องกันข้อพิพาท
3. ผลทางกฎหมายของ MOU
MOU ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายโดยอัตโนมัติ เว้นแต่มีการปฏิบัติตามจริงและสามารถใช้เป็นหลักฐานในกรณีพิพาท
หากมีการกำหนดข้อผูกพันที่ชัดเจนใน MOU เช่น ค่าตอบแทน, ระยะเวลาทำงาน, หน้าที่ความรับผิดชอบ อาจถือเป็น "สัญญาจ้าง" หรือ "สัญญาทางธุรกิจ" ที่มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย
ถ้ามีการละเมิดข้อตกลง ฝ่ายที่เสียหายอาจใช้ MOU เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องได้
สรุป
MOU ไม่ใช่กฎหมายโดยตรง แต่สามารถใช้เป็นข้อตกลงทางธุรกิจและมีผลทางกฎหมายได้หากมีเงื่อนไขที่ชัดเจน
กฎหมายเกี่ยวข้องกับคลินิก ได้แก่ พ.ร.บ. สถานพยาบาล, พ.ร.บ. วิชาชีพเวชกรรม และ พ.ร.บ. ยา ซึ่งกำหนดว่าผู้ดำเนินการคลินิกต้องเป็นแพทย์
หากมี MOU ระหว่างแพทย์กับเจ้าของคลินิก ควรให้ทนายตรวจสอบ เพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมาย
MOU มีผลทางกฎหมายหรือไม่?
MOU (Memorandum of Understanding) หรือ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เป็นเอกสารที่ใช้กำหนดข้อตกลงระหว่างสองฝ่ายหรือมากกว่า แต่ ไม่ได้มีผลผูกพันทางกฎหมายโดยอัตโนมัติ เหมือนสัญญาทางกฎหมายทั่วไป อย่างไรก็ตาม MOU อาจมีผลทางกฎหมายได้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและเนื้อหาภายในเอกสาร
1. กรณีที่ MOU ไม่มีผลทางกฎหมาย
โดยทั่วไป MOU เป็นข้อตกลงเบื้องต้น ซึ่งมักใช้เพื่อแสดงเจตนาในการร่วมมือกัน และ ไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย หากเอกสาร
ไม่มีข้อความที่ชัดเจนว่าเป็น สัญญาที่มีผลผูกพัน
ไม่มีการระบุข้อกำหนดเกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ และผลทางกฎหมายของแต่ละฝ่าย
ใช้เป็นข้อตกลงทั่วไป เช่น การแสดงเจตนาในการทำธุรกิจร่วมกันในอนาคต
ตัวอย่าง
MOU ระหว่างสองคลินิกที่ตกลงว่าจะร่วมมือกัน แต่ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขผูกพันใด ๆ
MOU ที่ใช้เพื่อแสดงความตั้งใจร่วมมือ แต่ไม่มีบทลงโทษหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตาม
2. กรณีที่ MOU มีผลทางกฎหมาย
แม้ MOU จะไม่ใช่สัญญาเต็มรูปแบบ แต่สามารถมีผลทางกฎหมายได้ หากมีเงื่อนไขที่บังคับใช้ได้จริง เช่น
มีเงื่อนไขที่ชัดเจนและเป็นข้อตกลงที่มีผลบังคับใช้
ระบุสิทธิและหน้าที่ของแต่ละฝ่ายอย่างชัดเจน
มีข้อตกลงเกี่ยวกับค่าตอบแทน การบริหารงาน หรือการแบ่งผลประโยชน์
มีข้อผูกพันทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายอื่น ๆ
หากเป็นข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับ พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 หรือ พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 อาจมีผลบังคับใช้ในบางเงื่อนไข
ตัวอย่างเช่น MOU ระหว่างแพทย์กับเจ้าของคลินิก ที่กำหนดให้แพทย์เป็นผู้ดำเนินการทางการแพทย์ของคลินิก
สามารถใช้เป็นหลักฐานในศาลได้
หากมีการละเมิดข้อตกลง ฝ่ายที่เสียหายอาจใช้ MOU เป็นหลักฐานในการเรียกร้องค่าเสียหาย
หากเอกสารระบุข้อตกลงที่มีผลทางธุรกิจ หรือมีการลงลายมือชื่อร่วมกัน อาจถูกตีความว่าเป็นสัญญาโดยปริยาย
ตัวอย่าง
MOU ระหว่างเจ้าของคลินิกกับแพทย์ ที่ระบุว่าหากแพทย์ลาออกก่อนกำหนด จะต้องแจ้งล่วงหน้าหรือมีค่าปรับ
MOU กับผู้จัดจำหน่ายยา ที่ระบุว่าต้องจัดส่งสินค้าภายในระยะเวลาที่กำหนด
3. วิธีทำให้ MOU มีผลทางกฎหมาย
หากต้องการให้ MOU มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย ควรมีองค์ประกอบดังนี้
ระบุเงื่อนไขที่ชัดเจน
ใครเป็นคู่สัญญา
ขอบเขตของข้อตกลงและหน้าที่ของแต่ละฝ่าย
ระยะเวลาของข้อตกลง
เพิ่มบทลงโทษและเงื่อนไขการบังคับใช้
กำหนดว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งละเมิดข้อตกลง จะมีบทลงโทษอย่างไร
อาจระบุค่าปรับ หรือมาตรการทางกฎหมายที่สามารถดำเนินการได้
ลงนามและพยาน
ให้ทุกฝ่ายลงนามอย่างเป็นทางการ
หากต้องการให้มีผลทางกฎหมายมากขึ้น อาจให้พยานหรือทนายความร่วมลงนาม
เปลี่ยน MOU เป็นสัญญาที่มีผลบังคับใช้
หากต้องการให้มีผลผูกพันทางกฎหมายเต็มรูปแบบ ควรพิจารณาทำ "สัญญาทางธุรกิจ" หรือ "สัญญาจ้างงาน" แทน
MOU ไม่ใช่สัญญาโดยอัตโนมัติ แต่สามารถมีผลทางกฎหมายได้หากมีข้อตกลงที่ชัดเจนและมีข้อผูกพันทางกฎหมาย หากต้องการให้ MOU มีผลบังคับใช้ ควรระบุรายละเอียดให้ชัดเจน มีบทลงโทษ และลงนามโดยทั้งสองฝ่ายในกรณีของธุรกิจคลินิก MOU ควรใช้ร่วมกับสัญญาทางธุรกิจหรือกฎหมายอื่น ๆ เพื่อป้องกันข้อพิพาทในอนาคต
สำหรับการเปิดคลินิก MOU มีความจำเป็นเพราะ
เป็นข้อกำหนดทางกฎหมาย - คลินิกต้องมีแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเป็นผู้ดำเนินการ หากเจ้าของคลินิกไม่ได้เป็นแพทย์เอง จำเป็นต้องมี MOU กับแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่จะเป็นผู้ดำเนินการ
กำหนดขอบเขตความรับผิดชอบ - ระบุบทบาทและหน้าที่ของทั้งเจ้าของคลินิกและแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม
การขออนุญาตประกอบกิจการ - เป็นเอกสารสำคัญที่ต้องยื่นประกอบการขออนุญาตเปิดคลินิกจากกระทรวงสาธารณสุข
รับรองมาตรฐานการให้บริการ - แสดงให้เห็นว่าคลินิกมีแพทย์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการให้บริการทางการแพทย์
MOU นี้จะต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น แพทยสภา หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ก่อนที่จะสามารถเปิดให้บริการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือหากอยากศึกษาขึ้นมูลขั้นตอนการขออนุญาตเปิดคลินิกเพิ่มเติมได้ที่นี่
Comments