เมื่อพูดถึงภาษีป้าย หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่การปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้องไม่เพียงช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมาย แต่ยังช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย! บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่าเหตุใดการจ่ายภาษีป้ายให้ถูกวิธีจึงสำคัญ และช่วยธุรกิจของคุณได้อย่างไร
ภาษีป้าย คืออะไร?
ภาษีป้าย คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากป้ายโฆษณาชื่อ, ยี่ห้อ หรือโลโก้ที่ใช้ในการค้า เช่น ป้ายร้านค้า ป้ายสินค้า ยี่ห้อหรือโลโก้ ที่ใช้ในการค้าและกิจกรรมสร้างรายได้ โดยผู้มีหน้าที่เสียภาษี ได้แก่ เจ้าของป้าย หรือผู้ครอบครองป้าย หากหาผู้ครอบครองป้ายไม่ได้ ผู้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ที่ดินที่ทำการติดป้ายจะต้องรับผิดชอบ โดยเจ้าหน้าที่จะส่งหนังสือแจ้งการประเมินภาษี
ป้ายใดบ้าง ที่ต้องเสียภาษี?
บางป้ายจะดูเรียบง่าย แต่หากมี ข้อความหรือภาพเพื่อการค้า ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย เจ้าของหรือผู้ติดตั้งป้ายควรตรวจสอบประเภทป้ายก่อนติดตั้งเพื่อปฏิบัติตามกฎระเบียบได้อย่างถูกต้อง
ป้ายที่ต้องเสียภาษีป้าย ได้แก่
ป้ายที่มีข้อความหรือสัญลักษณ์เพื่อการค้า
ป้ายที่ติดตั้งบนวัสดุหรือสถานที่ต่าง ๆ เช่น บนอาคาร ผนัง หลังคา หรือพื้นที่ของอาคาร
ป้ายโฆษณา ประชาสัมพันธ์เพื่อแสวงหาผลกำไร
ป้ายที่เคลื่อนไหวได้ เช่น ป้ายดิจิทัลที่ข้อความเปลี่ยนได้
ป้ายที่ได้รับการยกเว้นการภาษีป้าย มีแบบไหนบ้าง?
ป้ายที่ได้รับการยกเว้นภาษีส่วนใหญ่คือป้ายที่ไม่ได้มี วัตถุประสงค์เพื่อการโฆษณาเชิงพาณิชย์โดยตรง หรือเกี่ยวข้องกับ ประโยชน์สาธารณะ, ศาสนา หรือกิจกรรมชั่วคราว โดยป้ายที่ได้รับการยกเว้นภาษีตาม พระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510 มีลักษณะดังนี้
ป้ายที่ได้รับการยกเว้นภาษีป้าย ได้แก่
ป้ายบนยานพาหนะ รถยนต์ส่วนบุคคล, รถจักรยานยนต์, รถแทรกเตอร์
ป้ายที่ติดบนล้อเลื่อนหรือยานพาหนะอื่น ที่มีขนาดไม่เกิน 500 ตารางเซนติเมตร
ป้ายของกลุ่มเกษตรกร ป้ายที่แสดงผลผลิตทางการเกษตรของเกษตรกรเอง ไม่วัตถุประสงค์เพื่อการค้า
ป้ายเพื่อศาสนาและการกุศล ติดตั้งโดย วัด , องค์กรศาสนา หรือหน่วยงานเพื่อการกุศล ไม่เกี่ยวข้องกับการแสวงหาผลกำไร
ป้ายของหน่วยงานรัฐ หน่วยงานราชการทุกระดับ องค์กรรัฐวิสาหกิจที่รายได้ส่งคืนรัฐ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย, ธนาคารออมสิน
ป้ายในสถานศึกษา ป้ายที่ติดตั้งในโรงเรียนเอกชน หรือ สถาบันอุดมศึกษาเอกชน ป้ายที่ใช้เพื่อการศึกษาโดยตรง
ป้ายเพื่อกิจกรรมชั่วคราว ใช้ในงานกิจกรรมเฉพาะ เช่น งานเทศกาล, งานประเพณี หรือกิจกรรมพิเศษ ที่มีระยะเวลาชั่วคราว
ป้ายภายในอาคาร ป้ายที่อยู่ภายในอาคารที่ใช้เพื่อการค้า หรือกิจการอื่นเพื่อหารายได้ โดยมี ขนาดไม่เกิน 3 ตารางเมตร
ยกเว้น: ป้ายที่อยู่ภายใต้กฎหมายทะเบียนพาณิชย์
ป้ายสินค้า ป้ายที่ติดอยู่บนสินค้าโดยตรง หรือ บนบรรจุภัณฑ์ของสินค้า ป้ายที่ไม่ได้โฆษณาเพื่อการค้าภายนอก
5 ขั้นตอนการชำระภาษีป้าย
ขั้นตอนการชำระภาษีป้าย มีรายละเอียดที่ต้องปฏิบัติอย่างถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายและค่าปรับ ดังนี้
1. การเตรียมเอกสาร
ก่อนยื่นชำระภาษีป้าย คุณต้องเตรียมเอกสารดังต่อไปนี้:
แบบฟอร์ม ภ.ป.1 (แบบแสดงรายการภาษีป้าย)
บัตรประชาชน หรือสำเนาบัตรประชาชน (กรณีบุคคลธรรมดา)
สำเนาทะเบียนบ้าน
เลขประจำตัวผู้เสียภาษี
หนังสือรับรองบริษัท/ห้างหุ้นส่วน (กรณีเป็นนิติบุคคล)
ใบอนุญาตติดตั้งป้าย หรือใบเสร็จจากร้านทำป้าย
รูปถ่ายป้าย พร้อมระบุขนาด (กว้าง x ยาว)
2. การยื่นแบบแสดงรายการ (ภ.ป.1)
ยื่นแบบ ภ.ป.1 ได้ที่ สำนักงานเขต, เทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในพื้นที่ที่ป้ายตั้งอยู่
กรณีติดตั้งป้ายใหม่: ต้องยื่นภายใน 15 วัน หลังจากติดตั้ง
กรณีการชำระประจำปี: ต้องยื่นแบบ ภายในวันที่ 31 มีนาคม ของทุกปี
3. การประเมินภาษี
เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเอกสารที่ยื่น และประเมินจำนวนภาษีที่ต้องชำระ
หากผู้เสียภาษีเตรียมเอกสารครบถ้วนและยอมรับผลประเมิน สามารถชำระภาษีได้ทันที
หากยังไม่พร้อมชำระ เจ้าหน้าที่จะออกหนังสือแจ้งยอดภาษี พร้อมกำหนดระยะเวลาชำระ ภายใน 15 วัน
4. การชำระเงิน
สถานที่ชำระเงิน: ณ สำนักงานเขต, เทศบาล หรือ อบต.
รูปแบบการชำระเงิน:
เงินสด
ชำระผ่านระบบออนไลน์ (หากหน่วยงานท้องถิ่นรองรับ)
หมายเหตุ: เก็บใบเสร็จไว้เป็นหลักฐานเพื่อใช้ในกรณีตรวจสอบหรือยืนยันการชำระ
5.การเก็บใบเสร็จ
หลังชำระภาษี ควรเก็บใบเสร็จไว้เป็นหลักฐาน เพื่อใช้ในกรณีตรวจสอบหรือยืนยันการชำระในอนาคต
อัตราภาษีป้าย
อัตราภาษีป้ายกำหนดตามลักษณะของป้ายและข้อความที่แสดงบนป้าย โดยแบ่งเป็น 3 ประเภทหลักดังนี้
อัตราภาษีป้ายแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก:
ป้ายที่มีเฉพาะอักษรไทย: 5 บาท/500 ตร.ซม.
ป้ายที่มีอักษรไทยและต่างประเทศ หรือภาพ/เครื่องหมายอื่น : 10 บาท/500 ตร.ซม.
ป้ายที่มีเฉพาะอักษรต่างประเทศหรือมีอักษรไทยน้อยกว่าต่างประเทศ : 52 บาท/500 ตร.ซม.
กรณีป้ายพิเศษ
ป้ายที่มีข้อความเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงได้ เช่น ป้ายดิจิทัล:
อัตราภาษี: 10 บาทต่อ 500 ตารางเซนติเมตร
ป้ายขนาดเล็กที่คำนวณแล้วต่ำกว่า 200 บาท
ต้องเสียภาษีขั้นต่ำ 200 บาทต่อป้าย
การคำนวณภาษีป้าย
การคำนวณภาษีป้ายมีขั้นตอนที่ชัดเจน โดยขึ้นอยู่กับ ขนาดของป้าย และ ประเภทของข้อความหรือสัญลักษณ์ บนป้าย ซึ่งแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้
วิธีคำนวณภาษีป้าย
คำนวณพื้นที่ป้าย:
พื้นที่ป้าย=กว้าง (ซม.) × ยาว (ซม.)
หาฐานภาษี:
ฐานภาษี=พื้นที่ป้าย÷500
คำนวณค่าภาษี:
ค่าภาษี=ฐานภาษี×อัตราภาษีค่าภาษี
กรณีภาษีขั้นต่ำ
หากคำนวณแล้วค่าภาษีต่ำกว่า 200 บาท ต้องเสียขั้นต่ำ 200 บาทต่อป้าย
*หมายเหตุ
การเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มขนาดป้ายต้องยื่นประเมินและชำระใหม่ตามขนาดป้ายที่เปลี่ยนแปลง
การผ่อนชำระภาษีป้าย และการคืนภาษีป้าย
การผ่อนชำระภาษีป้าย
หากยอดภาษีที่ต้องชำระมีจำนวนมาก ผู้เสียภาษีสามารถขอผ่อนชำระได้ โดยมีเงื่อนไขและขั้นตอนดังนี้
เงื่อนไขการผ่อนชำระ
ยอดภาษีที่ต้องชำระต้องมีมูลค่า ตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป
การผ่อนชำระแบ่งออกเป็น 3 งวด เท่า ๆ กัน
แต่ละงวดมีระยะเวลาชำระ 1 เดือน
ขั้นตอนการผ่อนชำระ
แจ้งความประสงค์ขอผ่อนชำระภาษีเมื่อยื่นแบบแสดงรายการ (ภ.ป.1) ที่หน่วยงานท้องถิ่น
เจ้าหน้าที่จะทำการประเมินยอดภาษีและกำหนดงวดการชำระ
ชำระงวดแรกในวันที่ยื่นขอผ่อนชำระ และงวดที่เหลือในเดือนถัดไป
การคืนภาษีป้าย
หากผู้เสียภาษีพบว่าได้ชำระภาษีเกินจำนวนที่ต้องชำระ หรือไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษี สามารถขอคืนภาษีได้ โดยมีเงื่อนไขและขั้นตอนดังนี้
เงื่อนไขการคืนภาษี
ชำระภาษีเกินจำนวนที่ประเมินไว้
ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษี เช่น กรณีได้รับการยกเว้น
ขั้นตอนการขอคืนภาษี
ยื่นคำร้องขอคืนภาษีที่หน่วยงานท้องถิ่น (สำนักงานเขต, เทศบาล หรือ อบต.)
แนบเอกสารประกอบ เช่น ใบเสร็จการชำระภาษี, หลักฐานที่แสดงว่าไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษี
ยื่นคำร้องภายใน 1 ปี นับจากวันที่ชำระภาษีเกิน
เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบคำร้องและอนุมัติการคืนภาษี
*หมายเหตุ
กรณีการผ่อนชำระ หากไม่ชำระตามกำหนดในแต่ละงวด อาจต้องเสียค่าปรับเพิ่ม
การคืนภาษีอาจใช้ระยะเวลาตรวจสอบเอกสาร ดังนั้นควรเตรียมเอกสารอย่างครบถ้วน
โทษของการละเลย หลีกเลี่ยงการยื่นแบบและชำระภาษี
หากผู้มีหน้าที่เสียภาษีป้ายละเลยหรือหลีกเลี่ยงการยื่นแบบและชำระภาษี อาจต้องเผชิญกับโทษตามกฎหมายที่กำหนดไว้ ดังนี้
1. กรณีไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย (ภ.ป.1)
ไม่ยื่นแบบภายในกำหนดเวลา (31 มีนาคม หรือภายใน 15 วันหลังติดตั้ง/เปลี่ยนแปลงป้าย)
ถูกปรับ 10% ของค่าภาษี ที่ต้องชำระ
กรณียื่นแบบไม่ถูกต้อง
ยื่นข้อมูลไม่ครบถ้วน หรือให้ข้อมูลเท็จ ทำให้ชำระภาษีน้อยกว่าที่ควร จะถูกปรับเพิ่ม 10% ของค่าภาษี ที่ขาดไป
กรณีไม่ชำระภาษีภายในกำหนดเวลา
ไม่ชำระภาษีภายใน 15 วัน หลังได้รับแจ้งการประเมิน ถูกปรับเพิ่ม 2% ของค่าภาษีต่อเดือน จนกว่าจะชำระครบถ้วน
กรณีจงใจหลีกเลี่ยงภาษี
ให้ข้อมูลเท็จหรือเจตนาหลบเลี่ยงการเสียภาษี
โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี
ปรับระหว่าง 5,000 – 50,000 บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
กรณีไม่ยื่นแบบโดยเจตนา
ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าหน้าที่ หรือขัดขวางการตรวจสอบ
โทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน
ปรับระหว่าง 1,000 – 20,000 บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
การไม่ยื่นแบบหรือไม่ชำระภาษีป้ายมีบทลงโทษทั้งทางการเงินและกฎหมาย ดังนั้น ควรปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ เพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับและปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น.
Comments